ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอันสลับซับซ้อน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชั้นหินใต้พื้นผิวโลก โดยมีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักคือ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุคาร์บอน ซึ่งได้จากการสลายตัวของอินทรีย์สาร และอาจมีธาตุอื่น ๆ เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียมสภาวะความดัน และอุณหภูมิที่มันสะสมตัวอยู่ ปิโตรเลียมมีคุณสมบัติที่ไวไฟ เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และยางมะตอย ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นบางชนิดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นและจารบี รวมทั้งเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช พลาสติก และยางสังเคราะห์ เป็นต้น คำว่า “ปิโตรเลียม” (Petroleum) ที่มาจากภาษาละติน 2 คำ คือ คำว่า “เพตรา” (Petra) ซึ่งแปลว่าหิน และคำว่า “โอเลียม” (Oleum) ซึ่งแปลว่า น้ำมันทั้งนี้ปิโตรเลียมที่จะกล่าวต่อไปในเอกสารฉบับนี้ หมายถึง น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นรูปแบบของปิโตรเลียมเรานำมาใช้ประโยชน์มากที่สุดในปัจจุบัน
น้ำมันดิบ
น้ำมันดิบมีสถานะตามธรรมชาติเป็นของเหลว ที่ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ตามคุณสมบัติและชนิดของไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบอยู่ คือ
1. น้ำมันดิบฐานพาราฟิน
2. น้ำมันดิบฐานแอสฟัลต์
3. น้ำมันดิบฐานผสม
ซึ่งน้ำมันดิบทั้ง 3 ชนิด เมื่อนำมากลั่นแล้วจะให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
ก๊าซธรรมชาติ
ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่อยู่ในสถานะก๊าซที่สภาพแวดล้อมบรรยากาศ ก๊าซธรรมชาติจะประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนในปริมาณร้อยละ 95 ขึ้นไป ส่วนที่เหลือจะเป็นไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่เพียงเล็กน้อย ไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติจัดอยู่ในอนุกรมพาราฟิน มีคุณสมบัติอิ่มตัวและไม่เปลี่ยนแปลงทางเคมีในสภาวะปกติ ก๊าซธรรมชาติมีองค์ประกอบส่วนใหญ่คือ มีเทน (CH4) ซึ่งมีน้ำหนักเบาที่สุด และจุดเดือดต่ำที่สุดเป็นส่วนประกอบถึงประมาณร้อยละ 70 ขึ้นไป
คุณสมบัติของปิโตรเลียม
คุณสมบัติของปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแต่ละแห่งจะแตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอนและสิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่รวมอยู่ด้วย โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของปิโตรเลียมและสภาพแวดล้อมของแหล่งที่เกิดปิโตรเลียม
น้ำมันดิบโดยทั่วไปจะมีสีดำหรือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป แต่บางชนิดจะมีกลิ่นของสารผสมอื่นด้วย เช่น กลิ่นกำมะถัน และกลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า เป็นต้น ความหนืดของน้ำมันดิบก็แตกต่างกันไปตั้งแต่เป็นของเหลวเหมือนน้ำ จนกระทั่งหนืดคล้ายยางมะตอย สำหรับความถ่วงจำเพาะของน้ำมันดิบจะอยู่ประมาณ 0.80 – 0.97 ที่ 15.6 องศาเซลเซียส (60 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งเบากว่าน้ำ ดังนั้นเมื่อน้ำมันดิบรวมอยู่กับน้ำ น้ำมันดิบจึงลอยอยู่เหนือน้ำ
สำหรับก๊าซธรรมชาติแห้งจะไม่มีสีและกลิ่น ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (หรืออาจเรียกว่าคอนเดนเสท) จะมีลักษณะคล้ายกับน้ำมันเบนซิน และก๊าซธรรมชาติแต่ละแหล่งอาจมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปเช่นเดียวกับน้ำมันดิบ
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ปิโตรเลียม
Unknown
21:26
ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอันสลับซับซ้อน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชั้นหินใต้พื้นผิวโลก โดยมีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักคือ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุคาร์บอน ซึ่งได้จากการสลายตัวของอินทรีย์สาร และอาจมีธาตุอื่น ๆ เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของปิโตรเลียมสภาวะความดัน และอุณหภูมิที่มันสะสมตัวอยู่ ปิโตรเลียมมีคุณสมบัติที่ไวไฟ เมื่อนำมากลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และยางมะตอย ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นบางชนิดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นและจารบี รวมทั้งเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช พลาสติก และยางสังเคราะห์ เป็นต้น คำว่า “ปิโตรเลียม” (Petroleum) ที่มาจากภาษาละติน 2 คำ คือ คำว่า “เพตรา” (Petra) ซึ่งแปลว่าหิน และคำว่า “โอเลียม” (Oleum) ซึ่งแปลว่า น้ำมันทั้งนี้ปิโตรเลียมที่จะกล่าวต่อไปในเอกสารฉบับนี้ หมายถึง น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นรูปแบบของปิโตรเลียมเรานำมาใช้ประโยชน์มากที่สุดในปัจจุบัน
น้ำมันดิบ
น้ำมันดิบมีสถานะตามธรรมชาติเป็นของเหลว ที่ประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ตามคุณสมบัติและชนิดของไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบอยู่ คือ
1. น้ำมันดิบฐานพาราฟิน
2. น้ำมันดิบฐานแอสฟัลต์
3. น้ำมันดิบฐานผสม
ซึ่งน้ำมันดิบทั้ง 3 ชนิด เมื่อนำมากลั่นแล้วจะให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
ก๊าซธรรมชาติ
ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่อยู่ในสถานะก๊าซที่สภาพแวดล้อมบรรยากาศ ก๊าซธรรมชาติจะประกอบด้วยสารไฮโดรคาร์บอนในปริมาณร้อยละ 95 ขึ้นไป ส่วนที่เหลือจะเป็นไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่เพียงเล็กน้อย ไฮโดรคาร์บอนในก๊าซธรรมชาติจัดอยู่ในอนุกรมพาราฟิน มีคุณสมบัติอิ่มตัวและไม่เปลี่ยนแปลงทางเคมีในสภาวะปกติ ก๊าซธรรมชาติมีองค์ประกอบส่วนใหญ่คือ มีเทน (CH4) ซึ่งมีน้ำหนักเบาที่สุด และจุดเดือดต่ำที่สุดเป็นส่วนประกอบถึงประมาณร้อยละ 70 ขึ้นไป
คุณสมบัติของปิโตรเลียม
คุณสมบัติของปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแต่ละแห่งจะแตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอนและสิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่รวมอยู่ด้วย โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของปิโตรเลียมและสภาพแวดล้อมของแหล่งที่เกิดปิโตรเลียม
น้ำมันดิบโดยทั่วไปจะมีสีดำหรือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป แต่บางชนิดจะมีกลิ่นของสารผสมอื่นด้วย เช่น กลิ่นกำมะถัน และกลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า เป็นต้น ความหนืดของน้ำมันดิบก็แตกต่างกันไปตั้งแต่เป็นของเหลวเหมือนน้ำ จนกระทั่งหนืดคล้ายยางมะตอย สำหรับความถ่วงจำเพาะของน้ำมันดิบจะอยู่ประมาณ 0.80 – 0.97 ที่ 15.6 องศาเซลเซียส (60 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งเบากว่าน้ำ ดังนั้นเมื่อน้ำมันดิบรวมอยู่กับน้ำ น้ำมันดิบจึงลอยอยู่เหนือน้ำ
สำหรับก๊าซธรรมชาติแห้งจะไม่มีสีและกลิ่น ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (หรืออาจเรียกว่าคอนเดนเสท) จะมีลักษณะคล้ายกับน้ำมันเบนซิน และก๊าซธรรมชาติแต่ละแหล่งอาจมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปเช่นเดียวกับน้ำมันดิบ
วิชาวิทยาศาสตร์ม.2
Unknown
20:11
คำอธิบายรายวิชา
ศึกษา
วิเคราะห์ อธิบาย สังเกต เปรียบเทียบ การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง เลียนแบบ
การอภิปราย การสืบค้นข้อมูล กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และการสร้างแบบจำลองโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ
ของมนุษย์และสัตว์บางชนิด
การเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์ พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ เทคโนโลยีชีวภาพ อาหารและความสำคัญของสารอาหารต่อร่างกาย
สารเสพติดและผลที่มีต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย สมบัติของธาตุและสารประกอบ
การแยกสารด้วยวิธีการต่าง ๆ ศึกษา วิเคราะห์ อธิบาย สังเกต เปรียบเทียบ
การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง เลียนแบบ การอภิปราย การสืบค้นข้อมูล
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงของสาร การเกิดปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน
การเขียนสมการเคมี การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีในท้องตลาด
เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด
ความเข้าใจ
สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้
มีความสามารถในการตัดสินใจ
นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม
คุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)